แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

องค์ประกอบ 8 ประการในการพัฒนาชุมชนคริสตชน
ประกาศกเนหะมีย์เริ่มคร่ำครวญเกี่ยวกับกรุงเยรูซาเล็ม "ผู้ที่กลับจากถิ่นเนรเทศ. กำแพงกรุงเยรูซาเล็มอยู่ในสภาพปรักหักพัง ประตูเมืองก็ถูกไฟเผา”.(เนหะมีย์ 1: 3ข)การบรรยายนี้คล้ายคลึงกับสถานการณ์ในเมืองส่วนใหญ่ของอเมริกันในปัจจุบัน. พวกเขาเพิกเฉยและปล่อยให้น่าอับอายเกือบสี่สิบปี.สิ่งที่พระศาสนจักรของพระเยซูคริสตเจ้าควรทำอย่างดีที่สุด  คือนั่งลงและดูสิ่งนี้ เกิดขึ้นได้ในหลายพื้นที่ที่รอการเข้าไปแก้ปัญหา. ถ้อยคำของเนหะมีย์ที่ว่า "ยากลำบากมากและน่าอับอาย," มีอยู่ทั่วไปในพระศาสนจักรในทุกวันนี้
               เราจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ขณะที่คริสตชนมีความยากลำบากอยู่ที่คนยากจน และเมืองชั้นในในปัจจุบันนี้. สภาพหมดหวังที่เผชิญกับคนยากจนเรียกร้องการให้มีการแก้ปัญหาแบบปฏิวัติผมมีประสบการณ์ในการอยู่ท่ามกลางคนยากจนหลายปี, หลายคนต้องดูว่า ไม่อาจแก้ปัญหาที่สิ้นหวัง ถ้าไม่มุ่งมั่นและการกระทำที่เสี่ยง ในส่วนของคริสตชนธรรมดาที่มีความเชื่อแบบวีรกรรม.
               มีปรัชญาจำนวนมากในการแก้ปัญหา  แต่ส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง. การแก้ปัญหาคนยากจนในระยะยาว กำลังมาจากคนยากจนที่มาจากรากหญ้าและความพยายามที่จะยึดพระศาสนจักรเป็นหลัก.  การแก้ปัญหามาจากคนที่เห็นตัวเอง,พวกเขามาแทนพระเยซูเจ้าบนโลกนี้,ในย่านชุมชนเพื่อนบ้านและชุมชน
 
        ปรัชญานี้เป็นที่รู้จักกันว่า การพัฒนาชุมชนคริสตชน, ซึ่งไม่เป็นแนวคิดรวบยอด ที่พัฒนาในห้องเรียน หรือได้รับการพัฒนาเป็นสูตรสำเร็จโดยคนต่างชาติสำหรับชุมชนยากจน.เหล่านี้เป็น พระคัมภีร์ไบเบิล,หลักการปฏิบัติที่วิวัฒน์มาหลายปี เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและการทำงานในหมู่คนยากจน.ยอห์น เพอร์กินส์(John Perkins) ในมิสซิสซิปปี้   พัฒนาปรัชญานี้เป็นครั้งแรก ต่อมา ยอห์นและเวรา แม่ เพอร์กินส์ (Vera แม่ Perkins) ย้ายจากแคลิฟอร์เนียกลับไปบ้านเกิดที่มิสซิสซิปปี้ของพวกเขาในปี 1960 เพื่อช่วยบรรเทาความยากจนและคนถูกกดขี่
              ผ่านการทำงานและศาสนบริการ,มีการพัฒนาชุมชนคริสตชน. การพัฒนาชุมชนคริสตชนบันทึกแบบจำลอง 600 อันทั่วประเทศ.   ทำให้คืบหน้าอย่างมากในการพัฒนาชุมชนคริสตชน. การพัฒนาชุมชนคริสตชนมี8 องค์ประกอบที่จำเป็น ที่มีการพัฒนาในช่วงสี่สิบปี.
                 องค์ประกอบที่ 1-3 มีพื้นฐานมาจากของเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชน สามประการของยอห์น เพอร์กินส์คือการย้ายถิ่นฐาน,การคืนดีและการแจกจ่าย.  (Perkins 1995: 21-22). ส่วนที่เหลือ
ได้รับการพัฒนาโดยคริสตชนจำนวนมากที่ทำงานร่วมกัน เพื่อหาวิธีสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับเพื่อนบ้านที่ยากจน.        คำอธิบายสั้น ๆ ต่อไปนี้เกี่ยวกับองค์ประกอบของการพัฒนาชุมชนคริสตชน 8 ประการ

1. Relocation: การย้ายถิ่นฐานเพื่อไปดำเนินชีวิตท่ามกลางประชาชน
การดำเนินชีวิตตามพระวรสารหมายถึงความปรารถนาเพื่อเพื่อนบ้านและครอบครัวของเพื่อนบ้าน.
การดำเนินชีวิตตามพระวรสารหมายถึง
 ก)    การปรับปรุงคุณลักษณะชีวิตด้านต่างๆของผู้อื่น ทั้งด้านจิตวิญญาณ ด้านร่างกายด้านสังคมและด้านอารมณ์ให้ดีขึ้น.
ข)    หมายถึงการร่วมทุกข์ของผู้อื่น
พระเยซูเจ้าทรงรักอย่างไร “พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์และเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา” (ยน. 1.14) พระเยซูเจ้าทรงดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางประชาชน. พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในเรา. พระองค์ไม่เคยผลุบโผล่ไป,ผลุบโผล่มาระหว่างสวรรค์กับโลก. เช่นเดียวกัน. ผู้สื่อพระวรสารที่มีประสิทธิภาพต้องไปหาคนยากจน เพื่อดำเนินชีวตท่ามกลางพวกเขาตามที่พระเจ้าตรัสเรียกเขาให้ไป. วลีที่สำคัญที่จะเข้าใจข้อความที่ว่า “ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลาง ด้วยการทำศาสนบริการแบบแปลงร่าง. โดยการอยู่ท่ามกลาง. บุคคลหนึ่งจะเข้าใจปัญหากระจ่างชัดที่สุด เมื่อเผชิญหน้ากับคนยากจน. แล้วเขา/เธอจะเริ่มมองหาทางแก้ปัญหาอย่างแท้จริง. ยกตัวอย่าง ถ้าคนหนึ่งทำศาสนบริการในชุมชนคนจนที่มีลูกหลายคน เราสามารถมั่นใจว่าคนนั้นจะทำสิ่งใดที่เป็นไปได้เพื่อให้มั่นใจว่า ลูกๆของชุมชนได้รับการศึกษาที่ดี.
             การอยู่ท่ามกลางผู้คนแปรสภาพ “คุณ, แก่พวกเขาและของพวกเขา” ไปเป็น “เรา, แก่เราและของเรา”.
            ศาสนบริการที่มีประสิทธิภาพ ได้ปลูกและสร้างชุมชนแห่งผู้มีความเชื่อที่มีส่วนได้ส่วนเสียส่วนบุคคลในการพัฒนชุมชนเพื่อนบ้านของพวกเขา.
         การอยู่ท่ามกลางผู้คนคือชุมชนที่มีพื้นฐานในแก่นแท้ของโลก.
มีประชาชน 3 ประเภทที่อยู่ในชุมชน.
 ประเภทแรก เป็นประชาชน เหมือนผู้อำนวยการโครงการ ที่ไม่ได้เกิดในเมืองชั้นในแต่ย้ายไปอยู่ในย่านชุมชน.
ประเภทที่สอง คือ “ผู้กลับมา” เหล่านี้เป็นคนที่เกิดและได้รับการเลี้ยงดูในชุมชนของพวกเขา  เพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า. ตามปกติ พวกเขากลับจากวิทยาลัยหรือกองทัพ. พวกเขาไม่ถูกกับดักโดยความยากจนทั่วไปของย่านชุมชน. อย่างไรก็ตาม พวกเขาเลือกที่จะกลับไปและดำเนินชีวิตในชุมชนที่ครั้งหนึ่งพวกเขาพยายามที่จะหนีไป.
ประเภทสุดท้าย  เขาอยู่ท่ามกลางชุมชนคือ “ผู้ที่เหลืออยู่” เป็นคนที่สามารถหนีปัญหาของเมืองชั้นใน แต่เลือกที่จะอยู่และเป็นส่วนของชุมชน การอยู่ท่ามกลางผู้คนคือชุมชนที่มีพื้นฐานในปัญหาล้อมรอบพวกเขา
          ในปีค.ศ. 1975 ผู้เขียนย้ายเข้าไปอยู่ในย่านชุมชน North Lawndale on Chicago's West Side.
          นี่เป็นชุมชน ตามแบบฉบับย่านชุมชนในเมืองชั้นในมากที่สุด มีทั้งอัตราก่ออาชญากรรมสูง, ด้อยการศึกษากว่าที่อื่น. ไม่มีคำถามว่า การย้ายถิ่นฐานคือหัวเรี่ยวหัวแรงของการพัฒนาชุมชนที่นับถือศาสนาคริสต์ และหลักการอื่น ๆ ทั้งหมดที่จะทำให้มีความหมาย

2. การคืนดี (Reconciliation)
 ประชาชนคืนดีกับพระเจ้า (People To God)
             การคืนดีคือหัวใจของพระวรสาร. พระเยซูเจ้าตรัสถึงสาระสำคัญของศาสนาคริสต์
สรุปได้บัญญัติ 2 ประการ: รักพระเจ้าและรักผู้อื่น(มธ.22: 37-39)
ประการแรก การพัฒนาชุมชนคริสตชนเกี่ยวข้องกับคนที่จะกลับมาคืนดีกับพระเจ้า และนำพวกเขาไปคบหาสมาคมในวัด ที่พวกเขาสามารถเป็นศิษย์ในความเชื่อ.
         การประกาศพระวรสารเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาชุมชนคริสตชน.
         เป็นที่ยอมรับว่าคำตอบไม่ได้เป็นเพียงชิ้นงานหรือสถานที่ที่ดีที่จะดำเนินชีวิต แต่มีความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับพระเยซูคริสตเจ้า.
         สิ่งสำคัญคือการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสตเจ้า และแต่ละคนเชื่อในพระคริสตเจ้าสำหรับความรอดพ้น. ศิษย์คริสตชนอาศัยปรัชญาอย่างมากด้วย
 
         เราต้องเข้าใจพระวรสารแบบองค์รวม (wholistic)จึงจะถูกต้อง.  มันตอบสนองกับคนทั้งหมดได้;  ไม่ใช่ใช้กับจิตวิญญาณเท่านั้น หรือความต้องการด้านร่างกาย. การพัฒนาชุมชนคริสตชนเริ่มด้วยประชาชนที่ความรักของพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลง, ซึ่งตอบสนองการตรัสเรียกของพระเจ้า ให้แบ่งปันพระวรสารกับคนอื่นด้วยวิธีประกาศพระวรสาร, สังคมพัฒนา,การพัฒนาเศรษฐกิจและยุติธรรม.
การคืนดีระหว่างประชาชนกับประชาชน
         เวลาปลีกวิเวกมากที่สุดของสัปดาห์ในชาติของเรา (สหรัฐอเมริกา)คือ เช้าวันอาทิตย์ระหว่างการให้บริการของวัด. วัดในอเมริกาไม่ค่อยได้รับบูรณาการและถูกกระตุ้นด้วยพระวรสาร เพราะการฝึกนี้. การภาวนาแบบคริสต์ในการภาวนาตามบทที่พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า "พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์” ( มธ. 6: 9 )
        พระศาสนจักรควรไตร่ตรองเกี่ยวกับสวรรค์,บนโลก.และสวรรค์จะเป็นสถานที่แบบบูณาการมากที่สุดในโลก. ประชาชนของทุกประเทศและทุกลิ้นจะนมัสการพระคริสตเจ้าด้วยกัน. นี่คือภาพของพระศาสนจักรที่พระคริสตเจ้าประทานแก่ประชากรของพระองค์
          คำถามคือ พระวรสารสามารถทำให้ประชาชนคืนดีกับพระเจ้า โดยไม่ทำให้ประชาชนคืนดีกันเอง คำกล่าวนี้เป็นพระวรสารแท้ของพระเยซูคริสตเจ้าได้ไหม
 ความรักของบุคคลหนึ่งควรทำลายอุปสรรคด้านเชื้อชาติหรือเศรษฐกิจ.  ในฐานะที่เป็นคริสตชนมาร่วมกันแก้ปัญหาของชุมชน, การท้าทายที่ยิ่งใหญ่คือ แบบหุ้นส่วนกันและเป็นพยานร่วมกัน ในการข้ามอุปสรรคเหล่านี้ เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันของเราในพระคริสตเจ้า.
         การพัฒนาชุมชนคริสตชนตระหนักว่า พระวรกายของพระคริสตเจ้าทั้งหมดร่วมงานของการรักคนยากจน ไม่ว่าจะผิวดำ ผิวขาว ผิวสีน้ำตาลหรือผิวเหลือง ไม่ว่าเป็นคนรวยหรือคนจน ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือคนชานเมือง ไม่ว่า เป็นคนได้รับศึกษาหรือไม่ได้รับการศึกษา. ในขณะที่พระคัมภีร์อยู่เหนือวัฒนธรรมและเชื้อชาติ,พระศาสนจักรยังลำบากในการดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงของความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเจ้า. การพัฒนาชุมชนคริสตชนมุ่งคืนดีและทำงานหนัก เพื่อนำประชาชนทุกชาติพันธุ์และทุกวัฒนธรรมเข้าสู่ศูนย์นมัสการของพระคริสตเจ้า.
            สิ่งนี้ไม่มีโครงการรับรองแต่อาศัยการผูกมัดตนที่จะอาศัยด้วยกันในละแวกเดียวกัน. นี่คือเหตุผลที่ต้องย้ายถิ่นฐานเป็นสิ่งสำคัญ. นี่คือสิ่งที่จอห์น  เพอร์กิน (Dr. John Perkins ) เรียกว่าแนวความคิด-ความรู้สึก เพื่อประโยชน์สำหรับปัจเจกบุคคลที่กำลังมองหาสัมพันธภาพข้ามวัฒนธรรมที่แท้จริงในย่านชุมชนภายใต้แหล่งทรัพยากร. เพื่อการสร้างความไว้วางใจกับคนที่อาจจะเป็นที่น่าสงสัยเกี่ยวกับแรงจูงใจของเราสำหรับการอยู่ใน 'หมวกคลุมศีรษะ' เนื่องมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในแง่ลบ,แบบแผนต่างๆหรืออวิชชา, เราต้องเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักกับคนที่เหมาะสมในที่อาศัยของพวกเขา. ในขณะที่เราฟังเรื่องราวและรับรู้เรื่องราวของพวกเขาที่รู้สึกกังวลในปัจจุบันและอนาคต,เรายังเริ่มต้นที่จะระบุความรู้สึก-ความต้องการของอีกคนหนึ่ง,แผลที่ลึกที่สุด คือ รอสิ่งที่ช่วยให้เรามีโอกาสที่จะเชื่อมโยงกับผู้คนในระดับลึกกว่า,ซึ่งมักจะจำเป็นสำหรับการคืนดีที่แท้จริงที่เกิดขึ้น.
อำนาจของการคืนดีระหว่างเรากับพระเจ้า และระหว่างชนทุกเชื้อชาติและทุกวัฒนธรรม เป็นองค์ประกอบสำคัญของศาสนบริการที่มีประสิทธิภาพในโลกทำร้ายเรา

3. การแจกจ่าย (เป็นแค่การกระจายตัวของทรัพยากร)
           เมื่อชายและหญิงในพระวรกายของพระคริสตเจ้าที่เห็นได้ชัดและอาศัยอยู่ในหมู่คนยากจน (การย้ายถิ่นฐาน) และเมื่อมีคนจงใจรักเพื่อนบ้านและครอบครัวของเพื่อนบ้านของพวกเขา(การคืนดีกัน).
            ผลที่ได้คือ แจกจ่ายทรัพยากร.เมื่อคนของพระเจ้าที่มีทรัพยากร (โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมของพวกเขา) มุ่งมั่นที่จะอาศัยอยู่ในชุมชนด้อยโอกาสที่กำลังมองหาการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี,เป็นตัวอย่างของการเป็นสาวกของพระคริสตเจ้า ในการทำงานเพื่อความยุติธรรมเพื่อชุมชนทั้งหมด, และใช้ประโยชน์จากทักษะและทรัพยากรของทุกคน เพื่อกล่าวถึงปัญหาของชุมชนควบคู่ไปกับเพื่อนบ้านของพวกเขา. แล้วฝึกแจกจ่ายสิ่งเหล่านี้.
               การแจกจ่ายนี้ ใช้หลักความยุติธรรม กลับไปหาชุมชนที่ด้อยโอกาส  ชุมชนต้องมีความยุติธรรม..ความยุติธรรมละทิ้งสถานะของคนผิวสีและสถานะทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่า, ศาลอาญาและระบบเรือนจำ,การว่าจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม,ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ไม่เป็นธรรมและความอยุติธรรมในสถาบันการศึกษา.
      ความยุติธรรมมีสำหรับคนตามฐานะเศรษฐกิจมาเพื่อเยียวยา.
                  การแจกจ่ายนี้นำมาซึ่งทักษะใหม่,การจัดกลุ่มทางเศรษฐกิจที่จะได้รับการรักษา การกระจายทักษะใหม่,ความสัมพันธ์ใหม่และทรัพยากรใหม่ๆ และทำให้พวกเขาได้รับการเสริมพลังให้ผู้อยู่อาศัยในชุมชนที่เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดี
                   นี้คือการแจกจ่าย. การพัฒนาชุมชนคริสตชนมุ่งมั่นและเป็นพลังงานของมนุษย์ชาย-หญิง,คนหนุ่มสาวที่อาศัยอยู่ในชุมชน,และคนที่ดูแลชุมชนของพวกเขา   และหาลู่ทางที่สร้างสรรค์ในการพัฒนางาน,โรงเรียน,ศูนย์สุขภาพ,โอกาสการเป็นเจ้าของบ้าน   และผู้ประกอบการอื่น ๆในการพัฒนาระยะยาว.การแสวงหาการแจกจ่ายทรัพยากรและการทำงานเพื่อความยุติธรรมในชุมชนด้อยโอกาส
                    การช่วยให้ผู้คนสามารถช่วยตัวเองเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาชุมชนคริสตชน

4. การพัฒนาภาวะผู้นำ (Leadership  Development)
                                 เป้าหมายหลักของการพัฒนาภาวะผู้นำคือ การคืนเสถียรภาพและเติมเต็มสูญญากาศของผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ,ผู้นำทางเศรษฐกิจ ที่แพร่หลายในชุมชนที่ยากจนโดยการพัฒนาผู้นำ.  สิ่งนี้จะกระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดโดยเพิ่มผู้นำคริสตชนจากชุมชน   ชุมชนต้องการผู้ที่อยู่และนำ. เป็นงานที่สำคัญสำหรับการพัฒนาชุมชนคริสตชนในการพัฒนาเยาวชน,ที่ชนะเยาวชนคริสต์เป็นช่วงต้นของโรงเรียนอนุบาล  และจากนั้น ติดตามผลพวกเขาทั้งหมด  จบวิทยาลัยด้วยการศึกษาและบำรุงจิตใจ. เมื่อกลับมาจากวิทยาลัยในศาสนบริการ สร้างโอกาสในการฝึกผู้นำ เมื่อพวกเขาจะกลับไปยังชุมชน
              เรื่องการขาดผู้นำในชุมชนเมืองชั้นใน คือทัศนคติของเที่ยวบิน. สำหรับหลาย ๆ คนที่ประสบความสำเร็จหมายถึงความสามารถในการย้ายออกจากชุมชนของเมืองชั้นใน,ไม่เหลืออยู่ที่นั่น.เป้าหมายที่ผิดพลาดคือการช่วยให้คนไม่กี่คนออกจากย่านชุมชน เพื่อว่า พวกเขาสามารถหนีปัญหาของชุมชนเมืองชั้นใน. คุณค่าหลักของการเข้าพักก่อให้เกิดการระบายที่สำคัญในชุมชน. ความสำเร็จในสายตาของโลกที่จะออกจากย่านชุมชนและเป็นเจ้าของบ้านในชุมชนมากขึ้น. การพัฒนาผู้นำเป็นไปได้เฉพาะเมื่อทำศาสนบริการ. บ่อยครั้ง ทุกคนผิด ที่พยายามแก้ไขอย่างรวดเร็วในละแวกชุมชน. การพัฒนาความเป็นผู้นำจึงมีความสำคัญสูงสุดในการพัฒนาชุมชนคริสตชน.
                            ศาสนบริการแต่ละครั้งต้องมีศาสนบริการเยาวชนแบบพัลวัตที่เข้าถึงเยาวชนด้วยพระวรสารของพระเยซูคริสตเจ้า และเตรียมพวกเขาให้เป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระคริสตเจ้า และเป็นผู้นำชุมชนที่มีประสิทธิภาพ
                       สิ่งนี้จะใช้เวลาอย่างน้อย 15 ปีที่จะป ระสบความสำเร็จ ให้พนักงานวางแผนในย่านชุมชนเป็นเวลานาน. ในสถานการณ์ที่พวกลาตินอเมริกันและกลุ่มชาติพันธุ์ ได้รับผลกระทบเชิงลบจากสถานะทางกฎหมายของพวกเขาในปัจจุบันในประเทศของเรา, กระบวนการพัฒนาเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะกระทำสำเร็จ.คนหนุ่มสาวจะไม่สามารถที่จะเข้าเรียนในวิทยาลัยหรือเตรียมประกอบอาชีพที่มั่นคง. บ่อยครั้งในกรณีที่ศาสนบริการถูกย้ายไปทำงานสังคมพัฒนา เพื่อท้าทายและเปลี่ยนแปลงกฎหมายการอพยพถิ่นฐานซึ่งปัจจุบันทำให้ชีวิตเยาวชนและครอบครัวของพวกเขาอ่อนแรง
                       สำหรับศาสนบริการ CCD, การพัฒนาผู้นำจากชุมชน คือความสำคัญเบื้องต้นที่ต้องการความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง; ผลตอบแทน คือ ความผูกมัดของเราเต็มไปด้วยผู้นำที่เข้มแข็ง ที่รักเพื่อนบ้านของพวกเขา, และมีทักษะและความสามารถในการนำวัด องค์กรและสถาบันอื่น ๆ ที่นำมาซึ่งสุขภาพยั่งยืนต่อชุมชนของเรา

5. การฟังชุมชน
                บ่อยครั้ง ชุมชนได้รับการพัฒนาโดยคนนอกของชุมชน ที่นำทรัพยากรโดยไม่คำนึงถึงชุมชนของตัวเอง. การพัฒนาชุมชนมุ่งมั่นที่จะฟังผู้อาศัยในชุมชน, และและได้ยินความใฝ่ฝันของพวกเขา,ความคิดเห็นและความคิดของพวกเขา.
                  บ่อยครั้ง สิ่งนี้เป็นความคิดรวบยอด.  การฟังเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดเป็นคนของชุมชน ที่เป็นทรัพยากรในอนาคต.
สิ่งสำคัญอยู่ที่ ไม่มุ่งเน้นจุดอ่อนหรือความต้องการของชุมชน. อีกครั้ง ต้องการมีความคิดรวบ
ยอด ตามที่อ้างมาก่อนหน้านี้ จะช่วยให้เราเป็นนักพัฒนาชุมชน ที่ให้ความสำคัญกับความปรารถนาของผู้อาศัยในชุมชน.การจัดลำดับความสำคัญเป็นความคิดและความฝันของชุมชนเอง. สิ่งที่ผู้คนเชื่อว่า ตัวเองควรจะมุ่งเน้น. ใช้การพัฒนาทักษะแต่ละคนเป็นทุน มุ่งเน้นใช้สร้างสิ่งต่างๆเป็นสินทรัพย์ของชุมชน.เมื่อหลอมเข้าด้วยกันผ่านการพัฒนาชุมชน, พวกเขาก็สามารถมีผลลัพธ์เชิงบวก. เมื่อศาสนบริการมีประโยชน์

6. การพัฒนาชุมชนโดยใช้ทักษะเป็นทรัพย์สิน
                       (ABCD) เรียกชื่อทั้งหมดของสินทรัพย์ในชุมชน  ที่จะช่วยให้ชุมชนเห็นลักษณะในเชิงบวกมาก.อาศัยสินทรัพย์เหล่านี้ ที่คนใช้พัฒนาชุมชน. การพัฒนาชุมชนชี้ให้เห็น โดยผ่านการประชุมและความพยายามของชุมชน, บางคนในชุมชน ต้องการการปรับปรุง. ไม่ใช่มองจากคนภายนอก  หรือการศึกษาที่เน้นหนักในเรื่องประชากรในถิ่นต่างๆ ของโลก ที่เกี่ยวกับชุมชน. แต่ต้องเป็นสมาชิกชุมชนเองที่ตัดสินใจที่จะปรับปรุง.
                        หลังจากที่ชุมชนตัดสินใจว่า พวกเขาต้องมุ่งเน้นความสนใจของพวกเขา ที่พวกเขาสามารถเปลี่ยนทิศทาง. คุณภาพ,ไหวพริบและความสามารถที่ชุมชนมี,สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้? การมุ่งเน้นคือสมาชิกในชุมชนเห็นว่าตัวเองเป็นผู้แก้ปัญหา,ไม่ใช่โครงการของรัฐบาลหรือบุคคลภายนอกชุมชน ที่กำลังเป็นความรอดของพวกเขา. จำเป็นสำหรับผู้นำชุมชนที่จะช่วยมุ่งเน้นชุมชน ในการเพิ่มจุดแข็งและความสามารถที่จะสร้างความแตกต่างสำหรับชุมชนของพวกเขา.
                   ปรัชญาของการพัฒนาชุมชนคริสต์เชื่อว่า คนที่มีปัญหามีการแก้ปัญหาและโอกาสที่ดีที่สุด ที่แก้ปัญหาเหล่านั้น. การพัฒนาชุมชนคริสต์ยืนยันศักดิ์ศรีของบุคคลและส่งเสริมการดำเนินงานของชุมชน  ที่จะใช้ทรัพยากรของพวกเขาเองและทรัพย์สินจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
7. มีวัดเป็นพื้นฐาน
             ตำแหน่งของนักเขียนไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือจากชุมชนของคนของพระเจ้า.จะสามารถยืนยันศักดิ์ศรีของคนยากจน และช่วยให้พวกเขาตอบสนองความต้องการของตัวเอง.
         มันเป็นไปไม่ได้จริงที่จะทำศาสนบริการแบบองค์รวมนอกเหนือจากพระศาสนจักรท้องถิ่น. ควรเพิ่มความเชื่อแก่ชุมชน ด้วยการผลักดันไปสู่การประกาศพระวรสาร, การเป็นศิษย์,การรับผิดชอบทางจิตวิญญาณ,และความสัมพันธ์โดยศิษย์ ซึ่งเติบโตในการเดินของพวกเขากับพระเจ้า. ปัญหาหนึ่งในวันนี้ พระศาสนจักรไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชน. บ่อยครั้งที่พระศาสนจักร เป็นชุมชนที่ไม่เป็นมิตรทั่วประเทศของเรา.
                                พระศาสนจักรทำผิดเกี่ยวกับการเปิดวัดในเช้าวันอาทิตย์และคืนวันพุธ  แต่แทบจะไม่สนใจความต้องการของคนรอบตัวพวกเขา. ด้วยเหตุนี้ เขตปกครองวัดได้เริ่มต้นการทำงานเกี่ยวกับความรักเพื่อนบ้านซึ่งวัดละเลย      การพัฒนาชุมชนคริสต์เห็นว่าพระศาสนจักรมีบทบาทต่อการพัฒนาของชุมชน. เป็นความรับผิดชอบของวัดที่จะประกาศพระวรสาร,การสร้างศิษย์และเลี้ยงดูประชากรในพระอาณาจักร.
                            พระบัญชาของพระเยซูเจ้า คือความรับผิดชอบของวัดที่จะรักผู้อื่นและพื้นที่ใกล้เคียงของพวกเขา.เห็นว่า  วัดต่างๆคือคนรักของชุมชนและละแวกใกล้เคียงของพวกเขา.  มาจากองคาพยพของวัดที่ทำให้เกิดความคิดและโครงการ. แน่นอน ความคิดนี้ไม่ใช่ใหม่ในชุมชนของคนผิวดำ. วัดของคนผิวดำออกลูกหลานของชุมชนที่ยั่งยืนมากที่สุดในการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยและเศรษฐกิจ.มีสร้างศูนย์การค้า บ้านผู้สูงอายุ
                           เป็นธรรมดาที่เขตวัดคนผิวดำมีการเปลี่ยนแปลง,ปัจจุบัน พวกเขายังคงเป็นชาวต่างชาติสำหรับเขตวัดที่มีธรรมประเพณีของคนผิวขาว.  บ่อยครั้ง ชุมชนเกิดความขัดแย้งกับวัด  สิ่งนี้ก็เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนที่ยังคงเกิดขึ้นในกลุ่ม. เร็วๆนี้ มีความความพยายามใหม่มากมายที่เกิดขึ้นในชุมชนละตินอเมริกันและชาวเอเชีที่กำลังสร้างวัดที่ให้บริการพวกเขา
                       สุดท้ายนี้ น่าจะเป็นพลังสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการพัฒนาชุมชน คือ อาคารของชุมชนวัดท้องถิ่น.  เพราะชุมชนคริสตชนจะขึ้นอยู่กับการย้ายถิ่นฐาน และผู้คนจะดำเนินชีวิตในชุมชน,  มีวัดท้องถิ่นที่จะจัดพิธีนมัสการร่วมกันเป็นสำคัญ. เป็นวัดที่ผู้คนรวมตัวกันเพื่อจะได้มีพลังวังชา และสนองความต้องการส่วนบุคคล.
                       นี่เป็นจริงสำหรับสมาชิกที่เป็นเจ้าหน้าที่และสมาชิกที่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้ที่. น่าตื่นเต้น ที่พบแพทย์ที่ศูนย์นมัสการ กำลังนั่งถัดจากผู้ป่วยของพวกเขาในพิธีกรรมเช้าวันอาทิตย์. นี่คือการสร้างชุมชนที่ดีที่สุด วัดจะช่วยสร้างความเข้าใจของแต่ละคน    ว่าแต่ละคนมีของขวัญและความสามารถ และทุกคนต้องใช้ผู้ที่ทำดีกว่าของชุมชน.วัดแบ่งอุปสรรค์เป็นส่วนๆ รวมทั้งอุปสรรคด้านเชื้อชาติ,การศึกษาและวัฒนธรรม บ่อยครั้ง แยกคนที่อยู่ในชุมชน
8. แบบองค์รวม
                     บ่อยครั้งที่หลายคนในศาสนบริการและเป็นพื้นที่หนึ่งของความต้องการ และคิดว่า ถ้าพวกเขาแก้ปัญหานี้. แน่นอน คริสตชนมักจะมุ่งเน้นเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซูคริสตเจ้า.
                     แน่นอน องค์ประกอบสำคัญที่สุดในการพัฒนาชุมชนคริสตชน คือการประกาศพระวรสารและการสร้างศิษย์. อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เป็นยิ่งกว่าสองประการนั้น. ไม่แคยมีคำตอบที่ง่ายต่อปัญหาในชุมชนที่ยากจน,บ่อยครั้ง มีผู้คนบอกว่า เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณ,ทางสังคมหรือการศึกษา.
                       แน่นอน เหล่านี้เป็นปัญหา,แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาที่ใหญ่กว่า.  การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่ใช่การต่อสู้ทางอารมณ์ของบุคคล.  การพัฒนาชุมชนเป็นแบบองค์รวม ที่ทำศาสนบริการที่เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ,สังคม,เศรษฐกิจการเมือง,วัฒนธรรม,อารมณ์,ทางกายภาพ,ศีลธรรม การพิจารณาคดี,การศึกษาและครอบครัว. แน่นอน แบบองค์รวมเป็นเรื่องยากเพราะมีมุมมองมากมายที่ให้ชีวิตแก่บุคคล. นั่นคือเหตุผลที่ไม่มีวิธีที่ดีกว่าในการช่วยเหลือบุคคลมากกว่าการมีเขาหรือเธอที่รู้สึกอุทิศตนเพื่อวัดท้องถิ่น.
                       เขตวัดผูกมัดต่อการพัฒนาชุมชนเห็นไม่เพียงวิญญาณของคนเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงทั้งชีวิตของคนบนโลก ซึ่งจะสมบูรณ์ในชีวิตสำหรับคนๆหนึ่ง, ไม่เพียงแต่นิรันดรกาล แต่ตั้งแต่เป็นคนที่อาศัยอยู่บนโลก.
                         ดังนั้น การพัฒนาชุมชนเห็นว่าพระศาสนจักรต้องเกี่ยวข้องกับทุกแง่มุมของชีวิต.มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างเครือข่ายกับเขตวัดอื่นๆและองค์กรอื่นๆในชุมชน. เพื่อที่จะกระทำให้ทุกแง่มุมแบบองค์รวมบรรลุในเรื่องศาสนบริการ,ผู้อภิบาลและผู้นำ ต้องเป็นผู้สร้างเครือข่าย. การพัฒนาชุมชนคริสตชนสร้างพันธมิตรในชุมชน เพื่อว่า พวกเขาจะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหา
8. การเพิ่มขีดความสามารถ
       การสร้างศักยะของนักพัฒนาชุมชนให้ตอบสนองความต้องการของพวกเขา เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะพัฒนาชุมชนคริสตชน. ผู้อภิบาล (คุณพ่อเจ้าวัด) ให้แน่ใจอย่างไรว่า ผู้คนสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้รับความช่วยเหลือ? บ่อยครั้ง ศาสนบริการแบบคริสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในชุมชนที่ยากจน,สร้างการพึ่งพาตนเองขึ้น.  นี้ไม่ดีกว่าโครงการสวัสดิการรัฐหรือ. พระคัมภีร์สอนการเพิ่มขีดความสามารถ ไม่ใช่การพึ่งพา

ในพันธสัญญาเดิม การเพิ่มขีดความสามารถคือมุมมองที่สำคัญต่อการดูแลคนยากจนของพระเจ้า. ในเฉลยธรรมบัญญัติ 24 และเลวีนิติ 19, พระเจ้าทรงก่อตั้งระบบเก็บตก. เกษตรกรเก็บเกี่ยวพืชผลของพวกเขา  แต่ได้รับอนุญาตที่จะผ่านสนามเพียงครั้งเดียว. สิ่งที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรือให้ทานแก่แม่ม่าย, คนต่างด้าว,เด็กกำพร้าหรือคนยากจนที่มาเก็บเกี่ยว.
       โครงการนี้เพิ่มขีดความสามารถแก่คน.
      หลักการ 3 ประการออกมาจากระบบสวัสดิการของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิม
     ประการแรก จะต้องมีโอกาสสำหรับคนที่จะได้รับความต้องการของพวกเขา.  ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติและหนังสือเลวีนิติ,สิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นทุ่งนาที่มีอาหารในนั้น      ประการที่สองมีคนที่เต็มใจที่จะทำงานเพื่อ.แม่ม่าย, คนต่างด้าว,เด็กกำพร้าหรือคนยากจนต้องไปในทุ่งนาและเก็บพืชผล. แล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานในส่วนของคนยากจน. พบความคิดนี้ใน 2 ธสก. 3:10 ซึ่งกล่าวว่า "ถ้าผู้ใดไม่อยากทำงานก็อย่ากิน”.
           ประการที่สาม เมื่อหลักการสองประการแรกได้ผล, ยืนยันศักดิ์ศรีของบุคคล. ทุกคนก็จะได้รับศักดิ์ศรีเป็นมรดกโดยถูกสร้างขึ้นในภาพลักษณ์ของพระเจ้า. บ่อยครั้ง เมตตาธรรมดูหมิ่นบุคคลและถอดศักดิ์ศรีจากเขา. หลักการสุดท้ายของการเพิ่มขีดความสามารถรับรองศักยภาพที่พระเจ้าประทานแก่บุคคล
บันทึกการติดตามผล
        มีกว่า 600 องค์กรใน  200 เมือง ใน 40 รัฐที่ฝึกการพัฒนาชุมชนคริสตชน. วัดและศาสนบริการเหล่านี้ กำลังแสดงว่า เป็นไปได้ที่เขตวัดสามารถดำรงชีวิตด้วยความรักของพระเจ้าในโลก; คนผิวดำ,คนผิวขาว,คนผิวเหลืองและคนผิวสีน้ำตาล ไม่ว่าคนรวยและคนจน จะคืนดีกัน และเราสามารถสร้างความแตกต่าง; ว่าเราสามารถช่วยคนในชุมชนแออัดและชุมชนคนยากจนของประเทศนี้. ในชุมชนและเมืองหลายร้อยทั่วโลก, หลักการที่กำหนดของการพัฒนาชุมชนคริสต์จะพิสูจน์ว่า คนรากหญ้า,ศาสนบริการที่ยึดชุมชนเป็นที่ตั้ง มีคนที่สร้างชุมชนของตัวเอง เป็นตัวแทนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับการเยียวยาคนยากจน
        กวีนิพนธ์ต่อไปนี้ เป็นคู่มือปรัชญาแก่คนที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนคริสตชน
       “จงไปหาผู้คน
                อาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา
                เรียนรู้จากพวกเขา
                รักพวกเขา
                 เริ่มด้วยสิ่งที่พวกเขารู้
               สร้างในสิ่งที่พวกเขามี:
               แต่ของผู้นำที่ดีที่สุด.เมื่องานของพวกเขาจะทำ
               ผู้คนจะให้ข้อสังเกตว่า"เราได้ทำมันเอง".
สรุป
           ปัญหาของการขาดผู้นำในชุมชนและจำเป็นที่ผู้นำคนใหม่ได้รับการพัฒนามาจากกลุ่มคน .ในบริบทของชุมชนเหล่านี้ที่ต้องเผชิญกับความหลากหลายของปัจจัยทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม  ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของย่านชุมชนเพื่อนบ้านเหล่านี้,ผู้นำคนใหม่จะต้องรับการพัฒนา. การพัฒนาชุมชนคริสตชนที่ข้าพเจ้าเชื่อ,นับถือศาสนาคริสต์ ผมเชื่อว่า คือการเข้าถึงที่ดีที่สุดที่จะไม่เพียงพัฒนาผู้นำเหล่านี้ในอนาคต แต่ยังต้องพัฒนาชุมชนที่มีขีดความสามารถ ไปสู่ชุมชน ที่มีพลานุภาพของพระเจ้าและความพยายามของประชากรของพระองค์