แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

การสวดภาวนา
ที่มา : หนังสือ"ความเชื่ออันเป็นชีวิต" โดย พงศ์ ประมวล

RH-JesusTeachesDisciplesToPray DSC 0159            เช้าวันหนึ่งขณะที่บรรดาอัครสาวกตื่นขึ้นมาและไม่พบพระเยซูเจ้า ก็เดินตามหาพระองค์ และพบพระองค์บนภูเขา จึงถามว่า พระองค์เสด็จมาทำอะไร พระเยซูเจ้าจึงตรัสตอบว่า "มาสวดภาวนา" บรรดาอัครสาวกจึงขอพระเยซูเจ้าสอนพวกเขาให้รู้จักภาวนาบ้าง พระเยซูเจ้าจึงสอนพวกเขาให้สวด ซึ่งต่อมาบทสวดนี้ได้เป็นบทภาวนาที่สำคัญ ที่คริสตชนทั่วโลกยังคงสวดอยู่เสมอในทุกวันนั่นคือ "บทข้าแต่พระบิดา"
            มิใช่เช้านั้นเช้าเดียวแต่ในพระคัมภีร์มีเขียนเล่าว่า พระเยซูมักใช้เวลาเงียบๆคนเดียวสวดภาวนาเสมอ แม้พระองค์จะมีภารกิจมากเพียงใดในการการเทศน์สอนและรักษาคนเจ็บป่วย แต่ก็ยังคงใช้เวลาในช่วงวันในการสวดภาวนาบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
การภาวนา คือการยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้าเพื่อสนทนากับพระองค์ มีอยู่สองลักษณะ คือ

การภาวนาจากใจ  หมายถึงการสวดภาวนาส่วนตัวโดยการพูดกับพระเป็นเจ้าในใจ คิดถึงพระองค์  บางครั้งออกมาในรูปแบบการอ่านพระคัมภีร์ และรำพึงไตร่ตรองพระวาจาของพระที่ตรัสกับเราในพระคัมภีร์ การภาวนาจากใจเช่นนี้ต้องมีการฝึกหัดและพัฒนาจิตใจให้จดจ่อกับพระเป็นเจ้าเสมอ ผู้ที่พัฒนาจิตใจและหมั่นสวดภาวนาอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน จะภาวนาได้ง่ายขึ้นแม้เวลาทำงาน,บนรถเมล์หรือที่ไหนก็ได้เขาก็สามารถยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้าเสมอ

การภาวนาตามบทสวดที่พระศาสนจักรแต่งขึ้น หมายถึงการภาวนาที่บางครั้งเราไม่ทราบว่าจะพูดว่าอะไร หรีอสวดอย่างไรกับพระเป็นเจ้า ก็มีบทภาวนาที่พระศาสนจักรแต่งไว้ ให้เราได้สวดตามบทสวดนั้น ขณะสวดก็คิดตามความหมายของเนื้อหาของบทสวดที่แต่งไว้เช่น บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นบทที่พระเยซูสอนเราในพระคัมภีร์,บทวันทามารีอาเป็นบทที่เราใช้สรรเสริญพระเป็นเจ้าผ่านทางพระนางมารีอา,บทเยซูมารีอายอแซฟ คริสตชนจะสวดบทภาวนาต่างๆเหล่านี้ขึ้นใจตั้งแต่เป็นเด็กและมีโอกาสสวดภาวนาร่วมกับตริสตชนอื่นๆเมื่อประกอบศาสนกิจ ร่วมกันก็จะเปล่งเสียงสวดภาวนาเหล่านี้ด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง

คริสตชนสวดบทภาวนาบ่อยๆ ตลอดช่วงวัน หมายถึงเมื่อถึงเวลาว่างก็จะยกจจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้า และสวดสมํ่าเสมอ เมื่อตื่นนอน จะสวดภาวนาถวายวันนี้แด่พระเป็นเจ้า เพื่อช่วยเหลือเราในการดำเนินชีวิตตามนํ้าพระทัยของพระองค์ ก่อนเข้านอน ก็จะพิจารณามโนธรรม ว่าวันที่ล่วงมานั้นได้ทำบาปหรือข้อบกพร่องอะไรบ้าง อาจพิจารณาจากพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า 10 ประการ พระบัญญัติ 4 ประการของพระศาสนจักรและขอโทษต่อพระเป็นเจ้า เสียใจที่ได้กระทำบาปพร้อมทั้งตั้งใจว่าจะไม่ทำอีก,ยกถวายกิจการทั้งวันนั้นแด่พระเป็นเจ้าตลอดจนชีวิต,ปัญหา, ครอบครัวให้พระองค์ดูแลรักษา เพื่อพรุ่งนี้พระเป็นเจ้าจะได้อวยพรให้ตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น เพื่อออกไปทำหน้าที่ประจำวันของเราได้อีก การสวดภาวนาอุทิศแก่ผู้อื่นที่ต้องการความคำภาวนาช่วยเหลือ เช่น วิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วและต้องไปใช้โทษบาปก่อนจะไปอยู่กับพระเป็นเจ้าบนสวรรค์เพราะว่ามีบาปเบาติดวิญญาณ เรียกว่า วิญญาณในไฟชำระ การสวดภาวนาชดเชยบาปให้พวกเขาพ้นโทษโดยเร็ววัน,การสวดภาวนาให้แก่ผู้เจ็บไข้ป่วยได้ป่วยที่ถูกโรคร้ายคุกคาม จะได้มีกำลังใจยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น,การสวดภาวนาให้แก่ผู้ที่หลงผิดไปแล้วจะได้กลับใจ เปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีขึ้น,การสวดอุทิศให้สันติภาพของโลก

  • จะเห็นได้ว่าการภาวนาเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างพระและมนุษย์ หากจะถามว่าคริสตชนเลิกเป็นคริสตชนเมื่อใด? คำตอบก็คือ เมื่อใดที่คริสตชนเลิกสวดก็เริ่มที่จะเลิกเป็นคริสตชน เพราะคำภาวนาคือความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าตลอดเวลา แม้ก่อนจะรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารก็สวดโมทนาคุณพระเช่นกัน
  • ชีวิตคริสตชนจึงมองพระเป็นเจ้าในแง่ความสัมพันธ์ อาจกล่าวได้ว่าศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ที่พูดถึงศาสนกิจมาทั้งหมดนั้น มองว่าศาสนาคือ ความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าที่คริสตชนมีกับพระองค์วันละเล็กวันละน้อย ไม่เคยลืมเลือนกัน คริสตชนมิอาจเอาศาสนามารับใช้ชีวิตเราได้ หมายความว่าพอมีปัญหาทีหนึ่งก็วิ่งเข้ามาสวอขอทีหนึ่ง พอได้แล้วก็เลิกกัน การมาสวดขอความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้าสำหรับคริสตชนเป็นไปในแง่ที่ว่า เรากับพระเป็นเจ้ามีความสัมพันธ์อยู่เสมอ รักกันคิดถึงกันตลอดเวลา และเมื่อวันที่เรามีปัญหา,มีอุปสรรคในชีวิต เรานึกถึงคนที่เราใกล้ชิดที่สุดเป็นคนแรก นั่นก็คือพระเป็นเจ้าผู้ที่เรารักและมีความสัมพันธ์กับพระองค์เสมอทุกวันเวลาอยู่แล้ว คริสตชนยังเชื่ออีกว่าความเชื่อมีการพัฒนา ความเชื่อของผู้ที่มาสวดขออาจเป็นความเชื่อแบบเด็กๆ ที่เมื่อเป็นเด็กก็ได้แต่ขอ, ผู้ใหญ่สวดครั้งใดก็ขอในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่เมื่อเราปฏิบัติศาสนกิจ,อ่านพระคัมภีร์,รำพึงภาวนาและใส่ใจในข้อคำสอนมากขึ้น ความเชื่อก็ค่อยๆเติบโตขึ้น คล้ายกับเมล็ดพืชที่ค่อยๆหยั่งรากและแตกออกเป็นลำต้น สักวันหนึ่งเมล็ดพันธ์แห่งความเชื่อที่พระได้หว่านไว้ในจิตใจของเราโตขึ้น คำภาวนาของเราก็เปลี่ยนไป เรามิได้สวดเพื่อขอเพียงข้าวของเงินทองอีกต่อไปแล้ว แต่เราสวดให้ชีวิตเราเป็นไปตามนํ้าพระทัยของพระเป็นเจ้า เพราะไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระประทานมาให้เราเป็นสิ่งเลว คริสตชนจึงไม่ได้สวดให้เราสบายแต่สวดขอให้เรามีหัวใจแข็งแกร่งสามารถรับเรื่องทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้